สาระน่ารู้โรคภัยใกล้ตัว
| โรคไมเกรน( MIGRAINE) เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญคือ อาการปวดศีรษะนั้นมักจะปวดข้างเดียว |
| หรือเริ่มปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง และแต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้ แต่บางครั้งก็อาจจะปวดทั้งสองข้าง |
| ขึ้นมาพร้อมๆกันตั้งแต่แรกอาการปวดมักจะปวดตุ๊บๆ ส่วนมากจะปวดรุนแรงปานกลาง ถึงรุนแรงมาก โดยจะค่อยๆปวดมากขึ้นทีละน้อย จนกระทั้งปวด |
| รุนแรงเต็มที่ แล้วจึงค่อยๆบรรเทาอาการปวดลงจนหาย ขณะที่ปวดศีรษะก็มักจะมีอาการคลื้นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย ระยะเวลาปวดมักจะนานหลาย |
| ชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่จะนานไม่เกิน 1 วัน ในบางรายอาจมีอาการเตือนนำมาก่อนหลายนาที เช่นสายตาพร่ามัว หรือมองเห็นแสงกระพริบๆ อาการปวด |
| นั้นไม่เลือกเวลา บางรายอาจจะปวดขึ้นมากลางดึก หรือปวดตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา บางรายก็ปวดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจนกระทั่งตื่นนอนเช้าก็ยังไม่หาย |
| ปวดเลยก็ได้ อาการปวดศีรษะไมเกรนต่างจากอาการปวดศีรษะธรรมดาตรงที่ว่า อาการปวดศีรษะธรรมดามักจะปวดทั่วทั้งศีรษะ ส่วนใหญ่เป็นอาการ |
| ปวดตื้อๆ ที่ไม่รุนแรงนัก และมักจะมีอาการอื่น เช่น คลื่นไส้ร่วมด้วย ส่วนใหญ่จะหายได้เองเมื่อได้นอนหลับสนิทได้พักใหญ่ |
| ส่วนใหญ่พบผู้ป่วยกลุ่มใด วัยใด เพศใด มากที่สุด โรคปวดศีรษะไมเกรนส่วนใหญ่จะเป็นในผู็ที่อยู่ในวัยเจริญพันธู์ ผู็หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย |
| มักเป็นในผู้ที่มีความเครียดทางอารมณ์ และจิตใจสูง แต่ก็อาจเกิดในผู้ที่สุขภาพจิตดีก็ได้ สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไมเกรน ปัจจุบัน สาเหตุของไมเกรน |
| ก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด มีอยู่หลายทฤษฎีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ โดยเชื่อกันว่าอาจจะเกิดจากความผิดปกติที่ระดับสารเคมีในสมอง การสื่อกระแส |
| ในสมอง หรือการทำงานที่ผิดปกติไปของหลอดเลือดในสมองก็ได้ จากหลักฐานข้อมูลทางระบาดวิทยา ปัจจุบันเชื่อว่าไมเกรนถ่ายทอดทาง |
| พันธุกรรมได้ แต่จะเกิดหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งหลาย |
| โรคแผลในกระเพาะอาหาร |
| โรคแผลในกระเพาะอาหาร คือ ภาวะที่แผลเยื่อบุกระเพาะ หรือลำไส้ถูกทำลายถึงแม้ว่าจะเรียกว่าโรคกระเพาะ แต่สามารถเป็นได้ทั้งที่กระเพาะหรือลำไส้ |
| ถ้าเป็นเฉพาะเยื่อบุกระเพาะเรียก gastritis แต่ถ้าเป็นแผลถึงชั้นลึก muscularis mucosa เรียก ulcer ถ้าแผลอยู่ที่กระเพาะเรียก gastric ulcer ถ้าแผล |
| อยู่ที่ลำไส้เล็ก เรียก duodenal ulcer โรคกระเพาะพบได้ทุกวัย |
| สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากเกินปกติ เกิดขึ้นจากการกระตุ้นให้เกิดการหลั่ง |
| 1. การกระตุ้นของปลายประสาท เกิดจากความเครียด วิตกกังวลและอารมณ์ การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง |
| 2. ชา กาแฟ และน้ำดื่มที่มี caffeine จะทำให้กรดหลั่งออกมามาก |
| 3. การสูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่ทำให้เกิดการหลั่งกรดออกมามาก ภาวะที่กรดหลั่งออกมามาก เช่นโรค zollinger-ellisson syndrome กรดที่หลั่งออกมามาก |
| จะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดแผลในกระเพาะ |
| การทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เกิดจาก |
| 1. การกินยาแก้ปวด ลดไข้ แก้ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ยาชุดที่มีแอสไพริน และยาสารสเตียรอยด์ ยาลูกกลอนต่างๆโดยเฉพาะสารที่ระคายกระเพาะ |
| เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม nasid แม้ว่าจะให้ยาโดยการฉีดหรืออมใต้ลิ้นก็มีโอกาสเกิดแผลที่กระเพาะ เนื่องจากนี้จะไปกระตุ้นให้เกิด cyclooxigenase ii(cox ii) |
| ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะ |
| 2. การกินอาหารเผ็ดจัด และเปรี้ยวจัดจากน้ำส้มสายชู การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง การกินอาหารไม่เป็นเวลา |
| อาการของโรคกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่มีอาการปวดท้องบริเวณยอดอก หรือใต้ลิ้นปี่ (เหนือสะดือ)บางรายมีอาการจุก เสียด แน่น เจ็บแสบหรือร้อน |
| อาการจะสัมพันธ์กับการกิน หรือชนิดของอาหาร เช่น อาจปวดมากตอนหิว หลังอาหารจะทุเลา แต่ผู้ป่วยบางคนอาการปวดเป็นมากขึ้นหลังอาหาร โดยเฉพาะ |
| เมื่อทานอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เป็นต้น บางรายอาจมีอาการปวดท้องตอนกลางคืน |
| โรคภูมิ แพ้ คือโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไว เกินต่อสารก่อภูมิแพ้ ชึ่งในคนปกติไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น ผู้ที่เป็นภูมิแพ้มีปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อ ฝุ่น |
| ตัวไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกษรดอกไม้ เป็นต้น สารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกิดขึ้นนี้เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ , |
| โรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้ตามอวัยวะที่เกิดโรค |
| *** โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศ |
| *** โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้ |
| *** โรคหอบหืด |
| *** โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง |
| โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ คือการถ่ายทอดจากพ่อและแม่ มาสู่ลูก เหมือนภาวะอื่นๆเช่น หัวล้าน ความสูง สีของตา |
| ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าพ่อแม่ของคุณเป็นภูมิแพ้ คุณอาจไม่มีอาการไดๆเลยก็ได้ |
| โดยปกติ ถ้าพ่อหรือแม่ คนไดคนหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกอาจจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ 25% แต่ถ้าพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้ทั้งคู่ลูกอาจมีโอกาส |
| เป็นภูมิแพ้สูงถึง 66% โดยเฉพาะโรคโพรงจมูกอักเสบ จากภูมิแพ้จะมีอัตตราถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์สูงที่สุด ถ้าคุณได้รับการถ่ายทอดโรคภูมิแพ้ |
| ทางกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ แต่คุณไม่เคยได้สัมผัสสารก่อภูมิแพ้ คุณก็จะไม่มีอาการของโรคภูมิ คุณจะต้องได้รับสารก่อภูมิแพ้ ที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยา |
| ภูมิไวเกินในร่างกายของคุณการได้รับสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณที่มากพอ และนานพอ ที่จะกระตุ้นให้ร่างกายคุณเกิดปฏิกิริยาดังกล่าว |
| จึงทำลงให้เกิดอาการของโรคภูมิ อาการของคุณจะเป็นมากขึ้น เมื่อภูมิต้านทานลด |
| อาการของโรคภูมิแพ้ที่พบได้มีดังนี้ |
| : ผื่นที่ผิวหนัง เช่นผื่นแพ้ ลมพิษ คันตามผิวหนัง |
| : คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม |
| : ไอแน่นหน้าอก หายใจไม่มีเสียงหวีด โรคหอบหืด |
| : เคืองตา และตาแดง เคืองจมูก |
| : บวมรอบปาก อาเจียนและถ่ายเหลว |
| : แสบคอ น้ำมูกไหลลงคอ หูอื้อ |
| โรคตับ ภัยเงียบที่น่ากลัว อาการโรคตับส่วนมากมักจะไม่ทำให้เกิดอาการปวด เพราะว่าตับนั้นมีเส้นประสาท รับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดเฉพาะเปลือกหุ้มตับเท่านั้น |
| อาการอักเสบภายในเนื้อตับนั้นจึงมักไม่ได้ทำให้เกิด อาการปวดแต่อย่างได อาการที่แสดงออกมา มักจะเกิดจากการทำหน้าที่ของตับที่ลดลง ทำให้มีอาการ |
| อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือในรายที่เป็นมาก อาจมีตัวเหลือง ตาเหลือง(ดีซ่าน) เลือดออกง่าย หรือมีอาการซึมสับสนไปเลยก็มี นอกจากนี้ในกรณีที่ผู้ป่วย |
| มีโรคตับที่เป็นเรื้อรัง จนทำให้เกิดผังผืดในตับมากจนกลายเป็นตับแข็ง ผู้ป่วยอาจจะมีภาวะความดันของหลอดเลือดดำ ที่เข้าตับสูง หรือที่เรียกกันว่า |
| " หลอดเลือดดำพอร์ทอล" นั่นเอง โดยอาการทำให้เกิดมีน้ำในช่องท้องหรือท้องมาน รามไปถึงเกิดเส้นเลือดโป่งบริเวณหลอดเลือดดำในระบบทางเดิน |
| อาหารโดยเฉพาะ บริเวณหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร หากเมื่อไหร่ที่ความดันหลอดเลือดสูงมากๆ ก็จะทำให้เส้นเลือดที่โป่งแตก และเกิดเลือดออกใน |
| ในทางเดินอาหาร มีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรืออุจจาระมีสีดำแดง จากเลือดที่ออกในระบบทางเดินอาหาร โรคตับส่วนมากที่พบนั้นมักจะเป็นภัยเงียบ |
| นอกจากจะไม่ปวดท้องแล้วนั้นยัง ไม่ค่อยมีอาการให้เห็น หากไม่ได้ตรวจเลือด กว่าที่จะแสดงอาการมักจะต้องเป็นมากแล้ว หรือตับแข็งไปแล้วนั่นเอง |
| อาการแสดงของผู้ป่วยตับแข็งในระยะท้าย ผู้ป่วยจะมีอาการตัวเหลือง, ตาเหลือง ,ท้องมาน และมีเส้นเลือดฝอยขยายเป็นสีแดงๆ บริเวณฝ่ามือ และหน้าอก |
| โรคสะเก็ดเงิน โรคสะเก็ดเงินเป็นโรครักษาหายยากโนคหนึ่ง มีอาการตามผิวหนัง ตอนเริ่มกำเริบไหม่ๆจะเป็นตุ่มแดงขอบเขตชัดเจนและมีขุยสีขาว |
| (สีเงิน) อยู่ที่ผิว ต่อมาตุ่มจะค่อยๆขยายออกจนกลายเป็นปื้นใหญ่และหนาตัวขึ้น เป็นสะเก็ดสีเงิน(ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงเรียกว่า โรคสะเก็ดเงิน) |
| ชึ่งสะเก็ดนี้จะร่วงเวลาถอดเสื้อหรือเดินไปไหนมาไหน หรือร่วงอยู่บนเก้าอี้ ที่นอน ถ้าขูดเอาสะเก็ดออกจะมีเลือดซิบๆ รอยโรคของผู้ป่วยส่วนใหญ่ |
| จะเป็นลักษณะปื้นหนาชึ่งเป็นเรื้อรัง ขึ้นๆยุบๆอยู่ตลอดเวลา ไม่หายขาด ชึ่งอาจเกิดได้ที่ผิวหนังของทุกส่วน แต่มักจะพบที่หนังศีรษะ และผิวหนัง |
| ส่วนที่เป็นปู่มนูนของกระดูก เช่น ข้อศอก ข้อเข่า ก้นกบ หน้าแข้ง เป็นต้น ดรคนี้ยังชอบขึ้นที่เล็บ ทำให้เกิดอาการได้หลายลักษณะเช่น เล็บเป็นหลุม |
| ตัวเล็บขรุขระ เล็บแยกตัวออกจากผิวหนัง(onycholysis) ผิวใต้เล็บหนา(subungual keratosis) มักเกิดร่วมกับข้ออักเสบ และเนื้อเยื่อขอบเล็บอักเสบ |
| (paronychia)บางครั้งอาจมี |
| สาเหตุของโรค |
| อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม มักพบมีอาการกำเริบเวลามีภาวะเครียดทางกาย และจิตใจที่มากเกินไป การติดเชื้อ การได้รับบาดเจ็บ |
| การขูดข่วนผิวหนัง การแพ้แดด การแพ้ยาฯลฯ คนโบราณถือว่าสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากกล้ามเนื้อเป็นพิษ โบราณจึงแก้ที่ต้นเหตุ |
| ด้วยการไปทำให้ลดพิษในร่างกายลง |
| โรคโลหิตจาง อาการของโรคโลหิตจาง อ่อนเพลีย ,เวียนศีรษะ ,เป็นลม ,หน้ามืด , วิงเวียน , อาการทางสมองเช่น รู้สึกสมองล้า หลงลืมง่าย |
| ขาดสมาธิในการทำงาน เรียนหนังสือไม่ดีเท่าที่ควร , นอนไม่หลับ อาการหัวใจขาดเลือด มักพบในคนที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โลหิตจาง |
| ทำให้อาการของหัวใจรุนแรงขึ้น เจ็บหน้าอกง่ายขึ้น อาการขาขาดเลือด พบในคนที่มีโรคหลิดเลือดของขา ทำให้ปวดขาเวลาเดินได้ไม่ใกล |
| อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่นเบื่ออาหาร ท้องอืด |
| หากท่านพบว่ามีอาการเหล่านี้ ให้สงสัยว่าอาจมีภาวะโลหิตจางเกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัย และได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด |
| เพื่อหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร หากไม่ใส่ใจและปล่อยทิ้งไว้จนเป็นมาก อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ |
| โลหิตจาง หรือภาวะซีด หมายถึง การที่มีปริมาณเม็ดเลือดแดงลดลง หรือระดับความเข็มข้นของเลือดลดลง ปัญหาโลหิตจางในประเทศไทย |
| ที่พบได้แก่ |
| โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก (Irondeficiency) พบได้บ่อยที่สุด มีสาเหตุจากการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ เช่น |
| ไม่รับประทานอาหารโปรตีน ตับ เลือดหมู หรือมีการเสียเลือดทิ้งชนิดเฉียบพลัน และเรื้อรัง เช่น โรคพยาธิปากขอ ภาวะเลือดออกเรื้อรัง |
| ในทางเดินอาหาร ริดสีดวงทวาร หรือสูญเสียเลือดมากผิดปกติทางประจำเดือน ในการป้องกันโโรคโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก |
| สามารถป้องกันได้ด้วยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับหมู ตับวัว เลือดหมู นม ไข่ ผักใบสีเขียว และธัญพืช เช่น ถั่ว งา |
| แมล็ดฝักทอง ลูกเดือย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และทารกควรบำรุงอาหารเหล่านี้ ให้มากหรือให้กินยาบำรุงโลหิตเสริม |
| โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นโรคโลหิตจางชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงมีลักษณะ |
| ผิดปกติ จึงมีการแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเหลืองเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการแสดงออกของโรคนี้ จะต้องมีความผิดปกติทางพันธุกรรม |
| มาจากทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่( ซึ่งอาจไม่มีอาการแสดง) ถ้ารับจากฝ่ายไดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว จะไม่เป็นโรค แต่จะมีความผิดปกติทางพันธุกรรม |
| แฝงอยู่ในตัวและสามารถถ่ายทอดไปยังลูก หลานต่อไป ในบ้านเราพบว่า มีคนที่ผิดปกติทางพันธุกรรมหรือที่เรียกว่า พาหะของโรคนี้ |
| โดยไม่แสดงอาการผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการซีด เหลืองในรายที่เป็นชนิดรุนแรง จะมีการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า การเจริญเติบโตช้าและมีตับ |
| ม้ามโตร่วมด้วย ชนิดของโรคแบ่งออกเป็นหลายชนิด มีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกัน |
| โรคหัวใจ องค์กรอนามัยโลก แจ้งว่าโรคหัวใจคร่าชีวิตคนทั่วโลกถึงปีละ 12,000,000 คนต่อปี และจากสถิติยังแสดงว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุการ |
| ตายอันดับหนึ่งของประชากรที่เป็นผู้ใหญ่ หัวใจเป็นอวัยวะที่เป็นกล้ามเนื้อ ถ้าเปรียบเทียบกับเครื่องจักรที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป มันก็คงทำงานเหมือน |
| เครื่องปั้มน้ำ โดยมีหน้าที่สูบฉีดโลหิต ไปยังอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย หัวใจคนเรามี 4 ห้อง มีห้องซ้าย-ขวา และบน-ล่าง โดยผนังของกล้ามเนื้อหัวใจ |
| ลิ้นหัวใจมีหน้าที่ในการฟอกโลหิตซีกขวาของหัวใจประกอบไปด้วย หลอดเลือดที่จะสูบฉีดเลือดไปยังปอด เพื่อฟอกเลือดเสียให้ได้รับออกซิเจน |
| หลังจากที่เลือดได้รับการฟอกแล้ว มันจะส่งกลับมายังหัวจซีกซ้าย เพื่อสูบฉีดไปยังอวัยวะต่างๆต่อไป |
| อาการผิดปกติเบื่องต้น ของหัวใจและร่างกาย ชึ่งอาจจะเป็นข้อบ่งชี้ว่า มีอัตตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ สามารถแบ่งได้หลายชนิดดังนี้ |
| 1 มีอาการเหนื่อยเวลาออกกำลังกาย หรือต้องใช้แรงนั่นก็เป็นเพราะว่าหัวใจทำหน้าที่ในการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย |
| ทำงานหนักมากขึ้นกว่าปกติ แม้ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย จะรู้สึกเหนื่อยผิดปกติ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน |
| 2 เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก มักพบบ่อยในคนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ อาการดังกล่าว จะรู้สึกเหมือน |
| หายใจอึดอัด และแน่นบริเวณกลางหน้าอกคล้ายๆมีของหนักทับอยู่ โดยมากอาการนี้จะแสดงออกเวลาที่หัวใจต้องทำงานหนัก |
| 3 มีอาการหอบจนตัวโยน หากไม่รีบพบแพทย์โดยเร็ว และไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาการนี้ อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ |
| 4 ใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ ปกติหัวใจของเราจะเต้นสม่ำเสมอ ประมาณ60-100ครั้ง/นาที แต่สำหรับคนมี่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจขยับ |
| ไปถึง 150-250 ครั้ง/นาที |
| 5 เป็นลมหมดสติอยู่บ่อยๆ เนื่องจากจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอเพราะเชลล์ที่ทำหน้าที่ให้จังหวะไฟฟ้าในหัวใจเสื่อมสภาพ |
| ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าลง และส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จนทำให้เป็นลมไปชั่วคราวได้ |
| 6 หัวใจหยุดเต้นกระทันหัน มักเกิดจากความผิดปกติของเซลล์หัวใจโดยตรง และมักเกิดกับคนปกติที่ไม่มีอาการของโรคหัวใจมาก่อนล่วงหน้าเลย |
| 7 ขาหรือเท้าบวม โดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อกดดูแล้วมีลอยบุ๋มตามนิ้วที่กดลงไป |
| 8 ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีลักษณะเขียวคล้ำ แสดงให้เห็นว่า ทางเดินของเลิอดในหัวใจ ห้องขวา กับห้องซ้ายมีการเชื่อมต่ออย่างผิดปกติ |
| ส่งผลห้เกิดการผสมปนเปของเลือดแดงกับเลือดดำ |
| ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของโรคหัวใจ ส่วนมากเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือด เมื่อหลอดเลือดอุดตันมันก้ไม่สามารถที่จะสูบฉีดเลือด |
| เพื่อส่งสารอาหารไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ และเมื่อกาลเวลาผ่านไป การอุดตันของหลอดเลือด ก็ยิ่งเริ่มมีมากขึ้น |
| และนานวันเข้าหลอดเลือดต่างๆของหัวใจก็จะเริ่มหนา และแข็งขึ้นจนเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ |
| ไขมันในเลือดสูง โรคไขมันในเลือดสูงเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ อาจเป็นระดับโคเลสเตอรอล สูง หรือระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ |
| สูงอย่างไดอย่างหนึ่ง หรือสูงทั้งสองชนิดเลยก็ได้ ภาวะไขมันในเลือดสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตราย |
| ถึงแก่ชีวิตได้ |
| ไขมันในเลือดมีหลายชนิดแต่ที่สำคัญได้แก่...... |
| 1 โคเลสเตอรอล ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองและอีกส่วนหนึ่งได้รับจากอาหาร แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ |
| 1.1 โคเลสเตอรอลชนิดอันตราย(แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล/LDL)ถ้ามีในระดับสูงเกินไป จะไปสะสมที่เยื่อบุด้านในของหลอดเลือดแดง |
| ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง ตีบ หรืออุดตัน |
| 1.2 โคเลสเตอรอลชนิดดี (เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล/HDL)เป็นชนิดที่มีประโยชน์ทำหน้าที่นำโคเลสเตอรอลที่เหลือไปทำลายที่ตับ ผู้ที่มีโคเลสเตอรอล |
| ชนิดนี้สูงจะช่วยป้องกันการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง |
| 2 ไตรกลีเซอไรด์ เป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง ทำให้หลอดเลือดอุดตันได้ |
| สาเหตุของการเกิดภาวะไขมันในเลือดสูง.. |
| 1. ความผิดปกติทางกรรมพันธ์ุ |
| 2. กินอาหารที่มีไขมันโคเลสเตอรอลสูง หรืออาหารที่ให้พลังงานมากเกินความต้องการของร่างกาย |
| 3. โรคหรือการใช้ยาบางชนิด เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ โรคเบาหวาน โรคไต ยาขับปัสสาวะ ยาสเตียรอยด์ เป็นต้น |
| 4. การดื่มสุราในปริมาณมากเป็นประจำ ทำให้ไตรกลีเซอร์ไรด์สูง |
| 5. ขาดการออกกำลังกาย |
| อันตรายจากภาวะไขมันในเลือดสูง... |
| ระดับไขมันในเลือดสูง ทำให้หลอดเลือดแดงแข็ง ตีบ อุดตัน ส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย |
| หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงขาตีบตัน ตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น |
-
-
ผลิตภัณฑ์หมอเส็ง lot ใหม่ เบิกวันต่อวัน ไว้บริการทุกๆท่านค่ะ สนใจสั่งซื้อ Tel.089-857-6055 จอมใจ https://line.me/ti/p/Pdg-4cMeub
-
฿2,500 -
฿3,250 -
฿1,200 -
฿2,250 -
฿1,200 -
฿1,820 -
฿1,250
-














































